ในโลกใบนี้มีปรากฎการณ์ทางธรรมชาติที่น่าสนใจให้เราได้รู้สึกฮือฮาและประหลาดใจอยู่มากมาย บางปรากฎการณ์ก็น่ากลัวเหลือร้าย ขณะที่บางปรากฎการณ์ก็งดงามจับใจอย่างไม่น่าเชื่อ และในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา บนโลกกลม ๆ ใบนี้ก็มีหลากหลายปรากฎการณ์ทางธรรมชาติเกิดขึ้น วันนี้จึงขอนำข้อมูล เรื่องของปรากฎการณ์ทางธรรมชาติที่น่าสนใจที่สุดในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา มาฝากกันจร้า ไปดูกันเลยว่า ปรากฎการณ์ที่นับว่าเป็นเรื่องน่าสนใจนั้น มีปรากฎการณ์อะไรบ้าง
ปรากฎการณ์หิมะตกหนักในทะเลทรายที่เก่าแก่ที่สุดในโลก บริเวณทะเลทรายในประเทศนามิเบียในทวีปแอฟริกาใต้ เป็นดินแดนทะเลทรายที่มีหิมะตกทุก 10 ปี ในฤดูหนาว แต่ด้วยความแปรปรวนของสภาพอากาศบนโลก ทำให้มันตกลงมาหลังฤดูร้อนเพียงไม่นาน เมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว นับเป็นปรากฎการณ์ที่สร้างความประหลาดใจให้กับผู้เชี่ยวชาญและชาวเมืองมาก แถมหิมะยังตกต่อเนื่องตั้งแต่เช้ายันบ่าย อุณหภูมิต่ำลงมากที่สุดถึง -7 องศาเซลเซียส หนาวสั่นแบบไม่ทันตั้งตัวเลยล่ะ
ปรากฏการณ์ดอกไม้น้ำแข็ง
Ice Flowers เป็นอีก 1 ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่สร้างความตกตลึงให้แก่ผู้พบเห็น เนื่องจากมันจะเกิดขึ้นบนทะเลที่กลายเป็นน้ำแข็ง และเกิดมีเกร็ดน้ำแข็งที่ก่อตัวขึ้นมาเป็น ช่อดอกไม้สีขาว กลีบบางผุดขึ้นมาเต็มพื้นน้ำแข็งสาเหตุ ของการเกิด ปรากฏการณ์ธรรมชาติดอกไม้น้ำแข็ง
* ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ดอกไม้น้ำแข็ง เป็นหนึ่งในรูปแบบของแผ่นน้ำแข็ง ที่เพึ่งก่อตัวขึ้นใหม่
* เมื่อไอน้ำอิ่มตัว ( Saturated Water Vapors ) ที่แทรกตัวขึ้นมาตามรอยแตกของแผ่นน้ำแข็ง
* เมื่อไอน้ำอิ่มตัว สัมผัสกับอากาศเย็นจัดด้านบนก็จะเริ่มก่อตัวเป็นเกร็ดน้ำแข็ง
* ส่วนเกลือบนที่อยู่บนผิวของเกร็ดน้ำแข็งก็จะเกิดการตกผลึก เป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยบนผิวของเกร็ดน้ำแข็ง
* ผลึกเกลือที่เกิดขึ้นจะเป็นเสมือนแกนให้ให้ไอน้ำอิ่ม ตัว ที่เหลือเกาะเป็นเกร็ดน้ำแข็งใหม่ขึ้นสลับไปมาจนซ้อน ทับกันจนคล้าย กลีบดอกไม้
ปรากฏการณ์น้ำทะเลเรืองแสง
วันนี้ (4 เมษายน) เว็บไซต์ท่องเที่ยวชื่อดัง (travel.aol.co.uk) ได้เผยแพร่ภาพถ่ายของช่างภาพ ดั๊ก เพอร์รีน ที่สามารถจับภาพปรากฏการณ์น้ำทะเลเรืองแสง เป็นประกายในช่วงค่ำ โดย ดั๊ก ได้นำถ่ายนี้ภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจในขณะที่ไปพักผ่อนที่ “วาดู” หนึ่งในชายหาดของเกาะมัลดีฟส์ ทางมหาสมุทรอินเดีย
ดั๊ก กล่าวว่า ภาพนี้ถ่ายในคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาว ในเดือนมืด คลื่นขนาดเล็กที่เข้าซัดแนวชายฝั่งจนทำให้เกิดประกายแสงน่าอัศจรรย์นี้ มันมีขนาดใหญ่พอที่จะเห็นด้วยตาเปล่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้เกิดขึ้นได้เพราะในสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นมีสารเคมีเรืองแสง (chemiluminescencee) ซึ่งการปลดปล่อยพลังงานของปฏิกิริยาเคมีทำให้เกิดการเปล่งแสงออกมาคล้ายๆกับการเรืองแสงที่เกิดขึ้นในหิ่งห้อยเป็นผลมาจากสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กทำปฎิกิริยากับออกซิเจน
ด้านไมเคิล แครอล ผู้เชี่ยวชาญชีวภาพเรืองแสงกล่าวว่า ปรากฏการณ์ธรรมชาติดังกล่าว แทบจะไม่เคยเห็นบนชายฝั่ง แต่จะเห็นได้ทั่วไปในทะเล
ด้านไมเคิล แครอล ผู้เชี่ยวชาญชีวภาพเรืองแสงกล่าวว่า ปรากฏการณ์ธรรมชาติดังกล่าว แทบจะไม่เคยเห็นบนชายฝั่ง แต่จะเห็นได้ทั่วไปในทะเล
2.การทํามัมมี่ของชาวอียิปต์
ในสมัยอียิปต์โบราณ เมื่อมีคนตายก็จะนำศพไปฝังไว้ในทะเลทรายอันร้อนระอุ ความร้อน
และความแห้งแล้งทำให้ร่างกายแห้งอย่างรวดเร็ว
โดยที่แบคทีเรียไม่มีโอกาสได้ย่อยสลายศพเสียก่อน จึงกลายเป็นมัมมี่ไปตามธรรมชาติ
คงจะมีการค้นพบโดยบังเอิญ ดังเช่นในภาพ
เป็นศพชาวอียิปต์โบราณที่ถูกฝังตามธรรมดาโดยมิได้มีการตบแต่งทำให้ไม่มีการย่อยสลายแต่อย่างไรแต่ศพที่กลายเป็นมัมมี่ไปตามธรรมชาติก็อยู่รอดมาให้ค้นพบได้ในสมัยปัจจุบัน
ต่อมาชาวอียิปต์ก็เริ่มใช้โลงบรรจุศพก่อนฝังเพื่อป้องกันมิให้สัตว์ป่าแทะกินศพแต่ก็กลับพบว่า ซากศพที่ฝังในโลงได้เปื่อยเน่าไปไม่แห้งและอยู่คงทนเหมือนแต่ก่อนเพราะโลงศพทำหน้าที่เก็บกักความชื้นจากร่างกายเพียงพอที่จะอำนวยให้แบคทีเรียเจริญเติบโตและทำการย่อยสลายให้ศพเน่าเปื่อยสูญไปได้
ต่อมาอีกหลายร้อยปี ชาวอียิปต์ก็ได้ศึกษาทดลองวิธีต่างๆเพื่อจะรักษาสภาพศพให้คงทนอยู่ได้ กรรมวิธีในการรักษาศพให้คงทน ประกอบด้วยการแช่อาบศพด้วยสิ่งที่ชะงักการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย แล้วพันด้วยแถบผ้าลินิน ปัจจุบันเราเรียกกรรมวิธีนี้ว่า การทำมัมมี่
ต่อมาอีกหลายร้อยปี ชาวอียิปต์ก็ได้ศึกษาทดลองวิธีต่างๆเพื่อจะรักษาสภาพศพให้คงทนอยู่ได้ กรรมวิธีในการรักษาศพให้คงทน ประกอบด้วยการแช่อาบศพด้วยสิ่งที่ชะงักการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย แล้วพันด้วยแถบผ้าลินิน ปัจจุบันเราเรียกกรรมวิธีนี้ว่า การทำมัมมี่
3.ตำนานดอกซากุระ
| |
| |
4. ไข่มุก
ประเภทของไข่มุก |
ไข่มุก (Pearl) มาจากภาษาละติน "pilula" แปลว่า ลูกบอล ในสมัยโบราณรู้จักไข่มุกในชื่อของ มาร์กาไรต์ (Margarite) ซึ่งมาจากภาษากรีก Margaritafera ชื่อนี้หมายถึงหอยที่มีมุกฝังอยู่ ไข่มุกเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ในสมัยก่อนถือว่าไข่มุกเป็นของที่มีค่าสูงเหมาะสำหรับชนชั้นที่อยู่ในตระกูลสูงเท่านั้น ชาวฮินดูถือว่าเป็นอัญมณีแห่งความมั่งคั่งสมบูรณ์ สีสันต่าง ๆ ของไข่มุกยังแสดงสัญลักษณ์ต่างๆ ออกไปอีกคือ ไข่มุกขาว เป็นสัญลักษณ์ของความมีอุดมคติหรือความเป็นเลิศ ไข่มุกดำ หมายถึงปรัชญา ไข่มุกสีชมพู หมายถึงความสวยงาม ไข่มุกสีแดง เป็นสัญลักษณ์แห่งสุขภาพและพลัง ส่วนไข่มุกสีเทา เป็นเครื่องหมายแห่งความดูถูกดูแคลน
ประเภทของไข่มุก ไข่มุกธรรมชาติ (Natural Pearl)
ไข่มุกธรรมชาติเป็นไข่มุกที่เกิดจากการที่มีวัสดุชิ้นเล็กๆ เช่น เม็ดทราย หรือหิน เล็ดลอดเข้าสู่ภายในของเปลือกหอยโดยความบังเอิญ หรือจากธรรมชาติกระทำ จากนั้นตัวหอยจะเกิดความระคายเคืองภายในตัวเอง โดยกลไกลของตัวหอยจะปกป้องและสร้างชั้นของ เนเคอร์ (nacre) เพื่อห่อหุ้มสิ่งแปลกปลอมนั้นให้มีความหนาซ้อนกันมากขึ้นเรื่อยๆ การซ้อนของชั้นเนเคอร์ จะมีลักษณะเป็นชั้นคล้ายกับหัวหอมล้อมรอบวัสดุแปลกปลอมที่อยู่ตรงกลางไข่มุกธรรมชาติจะมีรูปร่างที่หลากหลายขึ้นอยู่กับรูปทรงดั้งเดิมของวัสดุแปลกปลอมที่เข้าไป ไข่มุกธรรมชาติมักได้รับการพิจารณาว่าเป็นไข่มุกที่หายากและค่อนข้างแพง โดยทั่วไปมักซื้อขายกันเป็นน้ำหนักหน่วยกะรัต แหล่งกำเนิดที่สำคัญของไข่มุก คือ อ่าวเปอร์เซีย ศรีลังกา ออสเตรเลีย ตาฮิติ และทะเลใต้ ไข่มุกเลี้ยง (Cultured Pearl) ไข่มุกเลี้ยงมีลักษณะของการกำเนิดเช่นเดียวกันกับไข่มุกธรรมชาติ แต่เป็นกรรมวิธีที่เกิดจากมนุษย์เป็นผู้ทำ โดยการที่ผู้เชี่ยวชาญจะใช้เครื่องมือค่อยๆ เปิดฝาเปลือกหอยออกและจากนั้นนำวัสดุชิ้นเล็ก เช่นลูกปัดกลม ใส่ลงไปภายในและจากนั้นก็นำหอยไปเลี้ยง โดยคอยดูแลสภาพแวดล้อม และความสะอาดของเปลือกหอย เมื่อเวลาผ่านไปวัสดุแปลกปลอมนั้นจะถูกเคลือบด้วยชั้นเนเคอร์ ซึ่งความหนาของชั้น เนเคอร์นี้จะขึ้นอยู่กับชนิดของเปลือกหอยที่ถูกสร้างขึ้นและชนิดของแหล่งน้ำที่หอยนั้นอาศัยอยู่ และระยะเวลาของวัสดุที่อยู่ภายในเปลือกหอยก่อนการเก็บเกี่ยว หากชั้นเนเคอร์มีการเพิ่มความหนาขึ้นก็จะทำให้คุณภาพหรือความหนาของไข่มุกเพิ่มขึ้นด้วย มุกเลี้ยงส่วนใหญ่มักซื้อขายกันโดยวัดขนาดเป็นมิลลิเมตร แหล่งกำเนิดที่สำคัญของไข่มุกเลี้ยงคือ ญี่ปุ่น จีน และทะเลใต้ ประเภทของไข่มุกแบ่งตามพันธุ์แหล่งกำเนิดมุกอะโกย่า (Akoya Pearl) อะโกย่าเป็นไข่มุกชั้นดีที่พบในประเทศญี่ปุ่น และเป็นไข่มุกที่แวววาวที่สุด เมื่อเทียบกับไข่มุกประเภทอื่นๆ ไข่มุกอะโกย่าจะดูเหมือนไข่มุกน้ำจืดมาก แต่เมื่อนำมาเปรียบเทียบใกล้ๆกันแล้ว ก็จะเห็นถึงความแตกต่างชัดเจน นั่นคือไข่มุกอะโกย่าจะมีขนาดที่ใหญ่กว่า, ผิวเรียบกว่า, รูปร่างกลมกว่า และมีความเปล่งประกายแวววายมากกว่าไข่มุกน้ำจืด มุกขาวทะเลใต้ (White South Sea Pearl) มุกขาวทะเลใต้เติบโตในภูมิประเทศแบบทรอปิคอล ร้อนชื้นและแบบกึ่งทรอปิคอลในแถบ ออสเตรเรีย, พม่า, อินโดนีเซียและประเทศในแถบแปซิฟิค มีขนาดตั้งแต่ 10 มม. จนถึง 20 มม. ราคาค่อนข้างสูงเพราะค่อนข้างหาได้ยากและมีขนาดใหญ่ มุกตาฮิติ (Tahitian Pearl) มุกตาฮิติเป็นมุกขนาดค่อนข้างใหญ่ที่พบในหมู่เกาะพอลินิเชีย ประเทศฝรั่งเศส เป็นมุกที่มีความสวยงามและมีสีสันที่พิเศษคือสีเทาอ่อน สีดำ จนไปถึงสีเขียวและสีม่วง ด้วยขนาดและสีสันที่แปลกแตกต่าง ทำให้มุกตาฮิติมีราคาสูงมาก มุกน้ำจืด (Freshwater Pearl) มุกน้ำจืดจะพบได้ในบริเวณชายหาดและแม่น้ำทั่ว ๆ ไปทุกแห่งในโลก สามารถเพาะเลี้ยงได้ง่ายในประเทศจีน, ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา รวมถึงประเทศไทย ด้วยความแวววาวที่ด้อยกว่ามุกน้ำเค็ม มุกน้ำจืดจึงมีราคาที่ถูกกว่า ประกอบด้วยรูปร่างลักษณะที่หลากหลายและสีสันทำให้มันเป็นที่นิยมอย่างมากในหลายปีที่ผ่านมา มุกมาบิ (Mabe Pearl) มุกมาบิ คือไข่มุกครึ่งซีกที่เติบโตอยู่กับเปลือกหอยมุก มันจะไม่เติบโตอยู่ในตัวหอยมุก จึงทำให้มีลักษณะเป็นเพียงครึ่งซีก เหมาะที่จะนำมาทำต่างหูและแหวนที่ด้านหลังแบนและเรียบ
5.ตำนานนางเงือก
เงือก หรือ นางเงือก (Mermaid) เป็นอมนุษย์ชนิดหนึ่งตามความเชื่อนิยายปรัมปราเกี่ยวกับน้ำ โดยเป็นจินตนาการเกี่ยวกับสัตว์น้ำ โดยมากจะเล่ากันว่าเงือกนั้นเป็นสัตว์ครึ่งมนุษย์ มี ส่วนครึ่งท่อนบนเป็นคน ส่วนครึ่งท่อนล่างเป็นปลา
นางเงือก (mermaid) เป็นสัตว์โลกอยู่ในทะเลในจินตนาการ มีลำตัวท่อนบนเป็นผู้หญิงสวย ท่อนล่างเป็นปลา ภาษาเยอรมันเรียกนางเงือกว่า meerfrau และเดนมาร์กคือ maremind
|
บางครั้งนางเงือกก็ได้รับสมญานามว่าพรหมจารีแห่งทะเล มีลักษณะสวยงาม กระจกของนางเงือกคือสิ่งที่แทนวงพระจันทร์ และผมที่สยายยาวคือสาหร่ายทะเล หรือรังสีบนผิวน้ำ แต่บางครั้งก็กล่าวว่ากะลาสีเรือเดินทางไปในเรือนานๆเข้า ไม่ได้เห็นผู้หญิงเลยก็เกิดภาพหลอนขึ้นมา นั่นคือนางเงือกไร้ตัวตนอย่างสิ้นเชิง แต่พวกเดินทางทางเรือเกิดจินตนาการเพราะว้าเหว่คิดถึงครอบครัว ตามตำนานเกี่ยวกับเงือกนั้นกล่าวไว้ว่าเทพโอนเนสเทพเจ้าแห่งท้องน้ำเทพเจ้าแห่งแสงสว่างและสติปัญญามีบุตรสาว และบุตรชาย ที่มีรูปร่างคล้ายปลา ให้ดูแลท้องน้ำในมหาสมุทรและปกครองทะเลทั้งหมด เรื่องหนึ่งที่น่าประหลาดเกิดขึ้นในปี ค.ศ.1608 มีคนพบคนครึ่งปลากลุ่มใหญ่ออกมาปิดปากถ้ำที่เซ็นไอเว่ส์แถบชายฝั่ง เบ็นโอเวอร์เนื่องจากเรือหลายลำได้รับคำสั่งให้ไปจับคนนอกศาสนาหรือเหล่าเพ แกนมาทำโทษและจัดการฆ่าทิ้งศพลงทะเล เหตุการณ์นี้ยังเป็นที่งุนงงมาถึงปัจจุบันว่าจริงหรือไม่ เงือกเป็นเผ่าพันธุ์ของอมนุษย์สะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกอีกชนิด หนึ่ง ว่ากันว่าเงือกพวกนี้อาจมีถิ่นกำเนิดบนฝั่ง บริตานี และว่ายข้ามช่องแคบอังกฤษไปยังคอร์วอลล์ จึงทำให้ผู้คนที่นั่นขนานนามว่า เมอร์เมด-เมอร์ แมน(เงือกตัวเมีย-ตัวผู้) อันเป็นคำผสมของแองโกล-ฝรั่งเศส และจากคอร์นวอลล์นี่เอง เงือกก็แพร่พันธุ์ไปจนถึงฝั่งตะวันตกของเกาะอังกฤษ ไปถึงรอบๆสกอตแลนด์ตอนเหนือสู่สแกนดิเนเวีย มีบางครั้งที่เราอาจเห็นเงือกในจุดต่างๆตลอดแนวฝั่งยุโรปด้วย อาจเป็นเพราะเงือกชอบอากาศเย็นและแนวฝั่งแอตแลนติกของอังกฤษกับไอร์แลนด์
ในต่างถิ่นมีตำนานเล่าถึงกำเนิดของเงือกต่างๆกัน นิทานพื้นบ้านของโรมันบอกว่า ในสงครามกรุงทรอย เศษไม้จากซากเรือรบที่ถูกเผาวอดกลายสภาพเป็นเลือดเนื้อและเกิดเป็นสิ่งมี ชีวิตคือ เงือก ชาวไอริชเล่าว่านางเงือกคือผู้หญิงนอกศาสนาที่ถูกเนรเทศออกไปจากแผ่นดิน บางท้องถิ่นมีเรื่องเล่าว่า ชาวเงือกคือ ลูกๆของฟาโรห์ที่จมน้ำในทะเลแดง